Upside ระยะสั้นยังถูกจำกัด
รอยต่อของเทศกาลคริสต์มาสและเข้าสู่ช่วงปีใหม่ ทำให้มูลค่าซื้อขายเบาบาง และตลาดไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากำหนดทิศทาง ส่งผลให้ในระยะสั้น ดัชนีจะมีกรอบบนจำกัดบริเวณแนวต้าน 1405-1410 จุด และยังชะลอตัวลดความร้อนแรงได้อยู่ หลังฟื้นตัวขึ้นมาก่อนหน้า ด้านแนวรับอยู่ที่ 1385-1390 จุด
• WorldBank ปรับเพิ่มประมาณการ GDP จีนปี 2567 และ 2568 เป็น 4.9% (เดิม 4.8%) และ 4.5% (เดิม 4.1%) ตามลำดับ แต่ยังคงย้ำเตือนความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่นที่ถดถอยทั้งในภาคครัวเรือนและธุรกิจ และแรงกดดันจากภาคอสังหาฯ
• รัฐบาลจีนอนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่นสามารถใช้พันธบัตรพิเศษสำหรับลงทุนได้หลากหลายมากขึ้น พร้อมจะลดกระบวนการอนุมัติให้ง่ายขึ้น จากเดิมที่ต้องได้รับการอนุมัติจากส่วนกลางก่อนขายพันธบัตร
• รัฐบาลญี่ปุ่นเผยผลผลิตทางเศรษฐกิจจะฟื้นตัวถึงระดับเต็มศักยภาพในปีงบฯ ถัดไป เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี หลังตลาดแรงงานเริ่มตึงตัว โดยการขาดแคลนแรงงานจะเป็นข้อจำกัดด้านอุปทาน
• กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เผยจำนวนผู้ขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ก่อนลดลง 1,000 รายสู่ 2.19 แสนราย ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้
• ธปท. ส่งหนังสือเสนอความเห็นควรแบ่งงบประมาณจากการกระตุ้นเศรษฐกิจสำหรับการลงทุนภาครัฐ เช่น ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน, พัฒนาบุคลากรในสาขาที่ขาดแคลน และลดภาระการคลังและต้นทุนกู้ยืม
• สนค. คาดการณ์มูลค่าส่งออกไทยปี 2568 จะขยายตัว 2-3% หนุนจากการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก, อุปสงค์สินค้าเกษตร, อาหาร และอิเล็กฯ และการย้ายฐานการผลิต ท่ามกลางไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก, มาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ และค่าเงินบาทที่ผันผวน
• สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปมองตลาดอาหารสำเร็จรูปในปี 2568 จะเติบโตต่อเนื่องราว 5-7% โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ราคาไม่แพงซึ่งสามารถแข่งขันกับโลกได้ และกังวลต่อความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการขึ้นภาษีการค้าของสหรัฐฯ ว่าจะกระทบอย่างไรต่ออาเซียน
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยมีแนวรับที่บริเวณ 1360 จุด ทั้งนี้มอง SET หลุด 1400 จุดแย่กว่าตลาดหุ้นภูมิภาค เนื่องจากความกังวลเรื่อง ESG ของหุ้นขนาดใหญ่ และ Fund Flow ยังมีทิศทางไหลออกหลังเฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยช้าลง ทำให้ช่วงสั้นSET ลุ้นปรับขึ้นได้เพียงแค่ปัจจัยกระตุ้นจากความคาดหวังเม็ดเงินลงทุนจะไหลเข้าจากการเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการซื้อกองทุนประหยัดภาษีที่มักจะเร่งตัวขึ้นในช่วงปลายปีและการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเพิ่มเติม อาทิ แจกเงินหมื่นเฟส 2, การนำค่าซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษี (Easy E-Receipt) ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศยังคงต้องติดตามนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมทั้งดัชนี PMI ภาคการผลิต ธ.ค. จีนและสหรัฐฯ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดย Upside ขึ้นกับปัจจัยกระตุ้นจากความคาดหวังเม็ดเงินลงทุนจะไหลเข้าจากการเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการซื้อกองทุนประหยัดภาษี และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเพิ่มเติม กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 2 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 3 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
- หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากรัฐออกมาตรการเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ซึ่งในอดีตราคาหุ้นมักปรับตัวได้ดีอย่างน้อย 3 ใน 5 ปี แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO)
- หุ้น Earning Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนโมเมนตัมกำไร 4Q67 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพการจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ เลือก GULF OSP AMATA AU TIDLOR BCP
- Trading Idea : 1) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรหุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงปลายปี ได้แก่ BBL GPSC AWC BEM CBG 2) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรหุ้นที่คาดจะเป็นเป้าหมายของการทำ Window Dressing ในช่วงสิ้นปีนี้ โดยมีสถิติในอดีตมักมีการปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงปลายปีอย่างน้อย 3 ใน 5 ปี แนะนำ BCP GPSC BDMS OSP และ 3) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรหุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน แนะนำ IVL PTTGC
BDMS: ช่วงสั้นมองมีโอกาสเป็นหุ้นที่เป็นเป้าหมายทำ Window Dressing ในช่วงสิ้นปีนี้ หลังราคาหุ้นปรับลง 11.4%YTD และ 18.7%QTD ขณะที่ 4Q67 คาดกำไรปกติจะเติบโตต่อเนื่อง YoY และทรงตัว QoQ จากความต้องการใช้บริการทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น หนุนให้ปี 2567 กำไรปกติเติบโต 12.6%YoY สู่ระดับ 1.6 หมื่นลบ.
AWC: ได้อานิสงส์บวกจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและมีโอกาสเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนภาษีช่วงปลายปีหลังมี ESG Rating ปี 2568 ที่ปรับตัวดีขึ้นเป็น AA ท่องเที่ยว ขณะที่ 4Q67 คาดกำไรปกติเติบโต YoY และ QoQ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจท่องเที่ยวไทย หนุนให้ปี 2567 คาดมีกำไรปกติเติบโตเด่น 57%YoY