ประเด็นลดค่าไฟกดดันหุ้นโรงไฟฟ้า ซึ่งยังกดดันดัชนีได้อยู่ แม้วันนี้คาดอัตราเร่งลดลง หลังเมื่อวานปรับลงแรงไปแล้ว นอกจากนี้ เงินบาทที่อ่อนค่าเป็นลบต่อทิศทาง Fund Flow และตลาดที่ขาดปัจจัยหนุน ทำให้การฟื้นตัวถูกจำกัดที่แนวต้าน 1380-1390 จุด ด้านแนวรับอยู่ที่ 1367 และจุดต่ำเดิม 1360 จุด หากต่ำกว่า จะเปิดด้าน Downside ได้ต่อ
• กระทรวงพาณิชย์เผยเงินเฟ้อทั่วไป ธ.ค. 67 เพิ่มขึ้น 1.23%YoY เป็นบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ปัจจัยหลักมาจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งราคาสินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ส่งผลให้เงินเฟ้อปี 2567 เพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่คาดไว้
• ธปท. มองปี 2568 ภาพเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ตามศักยภาพแต่อาจไม่เท่าเทียมกันในบางจุดในรูปแบบ K-shape ขณะที่มีความไม่แน่นอนสูง และมองนโยบายการเงินที่ดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% เป็นระดับที่สอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจในตอนนี้
• ธปท. เผยความคืบหน้าของโครงการแก้หนี้ภาคครัวเรือนระยะที่ 2 สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจนอนแบงก์ ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างหารือในรายละเอียด เงื่อนไข คุณสมบัติของผู้ที่จะสามารถเข้าร่วมโครงการ รวมถึงมูลหนี้ด้วย ซึ่งคาดจะเห็นความชัดเจน 1Q68
• กทพ. เผยปีนี้จะผลักดัน 2 โครงการลงทุนเข้าสู่ ครม. พิจารณาเพื่อเปิดประกวดราคาภายในปีนี้ โดยมีวงเงินลงทุนรวมกว่า 3 หมื่นลบ. ได้แก่ ทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 ช่วงถนนประเสริฐมนูกิจ-ถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ และทางพิเศษสายกระทู้-ป่าตอง
• รัฐบาลเผยแผนลดค่าไฟ 3.70 บาท สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน ด้านนายกฯ เตรียมหารือหน่วยงานรัฐและเอกชน พิจารณาลดค่าไฟฟ้า 4 แนวทาง ไม่ต่อ Adder ที่จะทยอยครบสัญญา ยืดเวลาใช้หนี้ค่า Ft ให้ กฟผ. พร้อมทั้งขอผู้ผลิตไฟฟ้าลดกำไรลง
• นายกฯ ญี่ปุ่นเตือนว่าอาจมีผลกระทบที่ตามมาหลังปธน. ไบเดนขวางข้อตกลวงซื้อกิจการ US Steel Corp ของบริษัท Nippon Steel ซึ่งเตรียมยื่นฟ้องต่อการตัดสินใจดังกล่าวของรัฐบาลสหรัฐฯ ในครั้งนี้
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวไซด์เวย์ในกรอบ 1370-1410 จุด แม้คาดตัวเลขเศรษฐกิจจีนจะมีสัญญาณฟื้นตัวและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง แต่คาดนักลงทุนยังรอติดตามนโยบายการค้าของว่าที่ปธน. สหรัฐฯ ซึ่งจะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. นี้ ขณะที่ปัจจัยในประเทศค่อนข้างผสม จากความคาดหวังเชิงบวกที่มีต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาและจะมีผลบังคับในช่วงต้นปีนี้ แต่อาจถูกบั่นทอนจากการขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่และยังมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศเป็นความเสี่ยงที่กดดันให้ Fund Flow ยังมีโอกาสไหลกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยค่อนข้างจำกัด อีกทั้งยังมีแรงขายกดดันจากเม็ดเงินโครงการกองทุน LTF ที่ครบกำหนด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวไซด์เวย์หลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ โดยรอติดตามเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศและนโยบายการค้าของว่าที่ปธน. สหรัฐฯ และมีแรงขายกดดันจากเม็ดเงินโครงการกองทุน LTF ที่ครบกำหนด กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
- หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากรัฐออกมาตรการกระตุ้นการบริโภค โดยนำค่าซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษี (Easy E-Receipt) ในช่วง 16 ม.ค.-28 ก.พ. 68 และแจกเงินหมื่นเฟส 2 ในช่วงเทศกาลตรุษจีน แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO CPALL TNP) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CBG OSP) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT)
- นักลงทุนที่ต้องการหุ้นปันผลสูงซึ่งคาดจะมีเงินปันผลจ่ายที่เหลือจากกำไรปี 2567 คิดเป็น Div. Yield เกิน 3% เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนภายใต้ภาวะตลาดหุ้นไทยที่ยังรอคอยปัจจัยชี้นำใหม่ๆ และยังมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง อีกทั้งปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ แนะนำ AP KTB BBL PTT
- หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนโมเมนตัมกำไร 4Q67 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพการจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ เลือก OSP AMATA AU TIDLOR BCP
- Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรหุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน แนะนำ IVL PTTGC
KTB: มองเป็นหุ้นปันผลสูงซึ่งสามารถสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนภายใต้ภาวะตลาดหุ้นไทยที่ยังรอคอยปัจจัยชี้นำใหม่ๆ โดยคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2567 หุ้นละ 1.06 บาท (จ่ายปีละครั้ง) คิดเป็น Div. Yield สูงปีละ 4.9% ขณะที่ 4Q67 คาดกำไรจะเติบโต 50%YoY สูงสุดในกลุ่มธนาคาร
CPALL: 4Q67 คาดจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ โดยเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากเข้าสู่ High Season และยอดขายสาขาเดิมยังเติบโตแข็งแกร่ง อีกทั้งมาร์จิ้นยังกว้างขึ้นต่อเนื่องจากกมียอดขายสินค้ามาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น ขณะที่มาตรการกระตุ้นศก. เพิ่มเติมของรัฐบาลและการปรับลดดอกเบี้ยจะเพิ่ม Upside ให้กับประมาณการ
