คาด SET เคลื่อนไหวภายในกรอบระหว่าง 1380-1400 จุด โดยรายงานประชุมเฟดเดือน ธ.ค. ส่งสัญญาณชะลอลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม คาดตลาดรับรู้ระดับหนึ่งแล้ว หลัง Bond Yield สหรัฐฯ มีอัตราเร่งลดลง ด้าน SET มีกรอบล่างบริเวณแนวรับ 1375-1380 จุด เป็นจุดรองรับ ส่วนกรอบบนมีแนวต้าน 1395-1400 จุด หากขึ้นทะลุผ่านได้เป็นสัญญาณบวกต่อ
• Amazon เดินหน้าแผนลงทุนในไทย 1.9 แสนลบ. เปิดบริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ “AWS Asia Pacific (Thailand) Region” คาดเพิ่มมูลค่า GDP กว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ สร้างงาน 1.1 หมื่นตำแหน่งต่อปี
• ตลท. เล็งเปิดเผยข้อมูลจำนำหุ้นที่อยู่ในระบบ TSD หวังช่วยนักลงทุนมีข้อมูลประกอบตัดสินใจลงทุนมากขึ้นและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย พร้อมทบทวนมาตรการกำกับการซื้อขายอีกครั้งก่อนเสนอบอร์ดปลายเดือนม.ค.นี้ และเปิดเกณฑ์เดือนก.พ.
• FETCO เตรียมถกคลัง ต่ออายุ SSF หวังดึงเงินต่างชาติเข้าไทย ชี้ EEC คือความหวังใหม่เศรษฐกิจไทยหนุนการเติบโตเศรษฐกิจ ล่าสุดมีนักลงทุนรอเซ็นสัญญาเข้าลงทุน 12 โครงการ มูลค่ากว่า 1.5 แสนลบ.
• กกร. ประเมินปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.4-2.9% ส่วนการส่งออกจะขยายตัว 1.5-2.5% ต่ำกว่าปี 2567 ที่เติบโต 4% ภายใต้ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐ ส่วนเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำที่ 0.8-1.2% มองเศรษฐกิจไทยยังอาศัยภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก
• การจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐฯ โดย ADP เดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.22 แสนตำแหน่ง ต่ำที่สุดตั้งแต่เดือนส.ค. 2567 สะท้อนตลาดแรงงานชะลอตัว
• คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (NDRC) และกระทรวงการคลังจีนประกาศจะอุดหนุนเงิน 15% สำหรับการซื้อโทรศัพท์มือถือ, แทปเล็ต และนาฬิกาอัจฉริยะ ที่มีราคาไม่เกิน 6,000 หยวน และมีอุดหนุนจำกัดที่ 1,500 หยวนต่อคน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
• ครม. เห็นชอบโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ส่วนต่อขยายช่วงรังสิต-มธ. 8.84 กม. วงเงินลงทุ 6.47 พันลบ. การรถไฟฯ เตรียมเปิดประมูลภายในปีนี้ ตั้งเป้าเซ็นสัญญาผู้รับงานเดือนต.ค. 2568
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวไซด์เวย์ในกรอบ 1370-1410 จุด แม้คาดตัวเลขเศรษฐกิจจีนจะมีสัญญาณฟื้นตัวและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง แต่คาดนักลงทุนยังรอติดตามนโยบายการค้าของว่าที่ปธน. สหรัฐฯ ซึ่งจะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. นี้ ขณะที่ปัจจัยในประเทศค่อนข้างผสม จากความคาดหวังเชิงบวกที่มีต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาและจะมีผลบังคับในช่วงต้นปีนี้ แต่อาจถูกบั่นทอนจากการขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่และยังมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศเป็นความเสี่ยงที่กดดันให้ Fund Flow ยังมีโอกาสไหลกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยค่อนข้างจำกัด อีกทั้งยังมีแรงขายกดดันจากเม็ดเงินโครงการกองทุน LTF ที่ครบกำหนด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวไซด์เวย์หลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ โดยรอติดตามเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศและนโยบายการค้าของว่าที่ปธน. สหรัฐฯ และมีแรงขายกดดันจากเม็ดเงินโครงการกองทุน LTF ที่ครบกำหนด กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
- หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากรัฐออกมาตรการกระตุ้นการบริโภค โดยนำค่าซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษี (Easy E-Receipt) ในช่วง 16 ม.ค.-28 ก.พ. 68 และแจกเงินหมื่นเฟส 2 ในช่วงเทศกาลตรุษจีน แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO CPALL TNP) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CBG OSP) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT)
- นักลงทุนที่ต้องการหุ้นปันผลสูงซึ่งคาดจะมีเงินปันผลจ่ายที่เหลือจากกำไรปี 2567 คิดเป็น Div. Yield เกิน 3% เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนภายใต้ภาวะตลาดหุ้นไทยที่ยังรอคอยปัจจัยชี้นำใหม่ๆ และยังมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง อีกทั้งปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ แนะนำ AP KTB BBL PTT
- หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนโมเมนตัมกำไร 4Q67 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพการจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ เลือก OSP AMATA AU TIDLOR BCP
- Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรหุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน แนะนำ IVL PTTGC
KTB: หุ้นปันผลสูงซึ่งสามารถสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนภายใต้ภาวะตลาดหุ้นไทยที่ยังรอคอยปัจจัยชี้นำใหม่ๆ โดยคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2567 หุ้นละ 1.06 บาท (จ่ายปีละครั้ง) คิดเป็น Div. Yield สูงปีละ 4.9% ขณะที่ 4Q67 คาดกำไรจะเติบโต 50%YoY สูงสุดในกลุ่มธนาคาร
BTG: หุ้นเด่นของกลุ่มอาหาร คาด 4Q67 กำไรปกติจะเติบโตเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ ดีสุดในกลุ่ม แรงหนุนจากมาร์จิ้นที่กว้างขึ้น และกำไรปกติปี 2568 จะเติบโต 38%YoY ดีที่สุดในกลุ่มอาหารจากธุรกิจสุกรในไทยที่ฟื้นตัวดีขึ้น (จากฐานต่ำใน 1H67) ซึ่งยังไม่รวม Upside ของกำไรจากซื้อกิจการผู้ประกอบธุรกิจไข่ในสิงคโปร์เสร็จภายใน 1Q68