ตลาดที่ขาดปัจจัยหนุน และเฟดที่ชะลอการลดดอกเบี้ยในปีนี้ นอกจากนี้ มีความไม่แน่นอนจากนโยบายทรัมป์ เป็นปัจจัยกดดันดัชนีได้ต่อ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1355 และ 1345 จุด ตามลำดับ ส่วนการฟื้นตัวถูกจำกัดที่แนวต้าน 1372-1380 จุด ประเด็นสำคัญ ติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันนี้
• CPI จีน ธ.ค. ปรับขึ้น 0.1%YoY ชะลอจาก พ.ย. ที่ 0.2%YoY ส่วน PPI หดตัว 2.3%YoY หดตัวติดต่อกัน 27 เดือน สะท้อนเศรษฐกิจจีนเผชิญความยากลำบากและเผชิญกับภาวะเงินฝืด
• ปธน. ไบเดนจะจำกัดการส่งออกชิป AI อีกครั้ง โดยจะแบ่งระดับการควบคุมเป็น 3 ระดับ กลุ่มพันธมิตรสหรัฐฯ จะเข้าถึงชิปโดยไม่มีข้อจำกัด, กลุ่มศัตรูจะถูกห้ามซื้อชิป และกลุ่มอื่นๆ จะถูกจำกัดพลังประมวลผล
• นายกฯ มาเลเซียตั้งเป้าดันมาเลเซียเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานและการผลิตชิปในภูมิภาค ชูจุดเด่นเศรษฐกิจแข็งแกร่งและค่าเงินมีเสถียรภาพ ขณะประเทศอื่นเผชิญความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและการเมือง
• สมาคมโรงแรมไทยร่วมกับ ธปท. เผยอัตราเข้าพักเฉลี่ย ธ.ค. เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 76% เทียบเท่าระดับ Pre-COVID19 ขณะที่ราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวันมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง และคาดการณ์อัตราเข้าพักเฉลี่ยใน ม.ค. 68 จะเป็น 73% สูงขึ้นเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
• ธพ. เผยปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงช่วง 11M67 เพิ่มขึ้น 2.0%YoY สู่ 155.22 ล้านลิตร/วัน โดยเพิ่มขึ้นจากดีเซลและน้ำมันอากาศยาน +2.4% และ 18.4% ตามลำดับ ส่วนเบนซินเพิ่มขึ้นเพียง 0.02% หนุนจากกิจกรรมเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นและการท่องเที่ยวฟื้นตัว
• ThaiBMA ประเมินปี 2568 มียอดหุ้นกู้ใหม่ 8-9 แสนลบ. จับตาหุ้นกู้ไฮยีลด์ยอดออกใหม่ลด 50% เหตุขาดความเชื่อมั่น ศก. ซบเซา พบบริษัทถูกดาวน์เกรดหุ้นกู้เพิ่มเป็น 46 บริษัทในปี 2567 หลังภาพธุรกิจแย่ลง ยังไร้สัญญาณหุ้นกู้เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้เพิ่ม
• เจ้าหน้าที่เฟดหนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวไซด์เวย์ในกรอบ 1370-1410 จุด แม้คาดตัวเลขเศรษฐกิจจีนจะมีสัญญาณฟื้นตัวและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง แต่คาดนักลงทุนยังรอติดตามนโยบายการค้าของว่าที่ปธน. สหรัฐฯ ซึ่งจะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. นี้ ขณะที่ปัจจัยในประเทศค่อนข้างผสม จากความคาดหวังเชิงบวกที่มีต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาและจะมีผลบังคับในช่วงต้นปีนี้ แต่อาจถูกบั่นทอนจากการขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่และยังมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศเป็นความเสี่ยงที่กดดันให้ Fund Flow ยังมีโอกาสไหลกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยค่อนข้างจำกัด อีกทั้งยังมีแรงขายกดดันจากเม็ดเงินโครงการกองทุน LTF ที่ครบกำหนด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวไซด์เวย์หลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ โดยรอติดตามเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศและนโยบายการค้าของว่าที่ปธน. สหรัฐฯ และมีแรงขายกดดันจากเม็ดเงินโครงการกองทุน LTF ที่ครบกำหนด กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
- หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากรัฐออกมาตรการกระตุ้นการบริโภค โดยนำค่าซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษี (Easy E-Receipt) ในช่วง 16 ม.ค.-28 ก.พ. 68 และแจกเงินหมื่นเฟส 2 ในช่วงเทศกาลตรุษจีน แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO CPALL TNP) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CBG OSP) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT)
- นักลงทุนที่ต้องการหุ้นปันผลสูงซึ่งคาดจะมีเงินปันผลจ่ายที่เหลือจากกำไรปี 2567 คิดเป็น Div. Yield เกิน 3% เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนภายใต้ภาวะตลาดหุ้นไทยที่ยังรอคอยปัจจัยชี้นำใหม่ๆ และยังมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง อีกทั้งปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ แนะนำ AP KTB BBL PTT
- หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนโมเมนตัมกำไร 4Q67 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพการจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ เลือก OSP AMATA AU TIDLOR BCP
- Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรหุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน แนะนำ IVL PTTGC
KTB: หุ้นปันผลสูงซึ่งสามารถสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนภายใต้ภาวะตลาดหุ้นไทยที่ยังรอคอยปัจจัยชี้นำใหม่ๆ โดยคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2567 หุ้นละ 1.06 บาท (จ่ายปีละครั้ง) คิดเป็น Div. Yield สูงปีละ 4.9% ขณะที่ 4Q67 คาดกำไรจะเติบโต 50%YoY สูงสุดในกลุ่มธนาคาร
HMPRO: 4Q67 คาดกำไรปกติจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากการขยายสาขาและ EBIT margin ที่กว้างขึ้น ขณะที่ยอดขายสาขาเดิม 1Q68 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังจะมาถึง (มาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ในเดือน ม.ค.-ก.พ.) อีกทั้งปัจจุบัน Valuation ยังน่าสนใจ โดยซื้อขายที่ PER 67F และ 68F ต่ำกว่า -2S.D.