แนวโน้มตลาดวันนี้ : พบกับแถวนี้ 1325-1330 เป็นประจำ

SET แม้ยังไม่มีสัญญาณกลับตัว แต่เคลื่อนไหว Sideways Down ซึ่งแสดงถึงอัตราเร่งในการปรับตัวลงที่ลดลง และเข้าใกล้แนวรับสำคัญบริเวณ 1325-1330 จุด ซึ่งมองเป็นจุดลุ้นฟื้นตัวกลับได้ ด้านแนวต้านอยู่ที่ 1345-1350 จุด หากขึ้นทะลุผ่านได้ จะเป็นสัญญาณที่ดี ประเด็นสำคัญวันนี้ ติดตามตัวเลข PCE ของสหรัฐฯ

• กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เผยประมาณการครั้งแรกของเศรษฐกิจสหรัฐฯ 4Q67 ขยายตัว 2.3%QoQ ต่ำกว่าตลาดคาดไว้ และชะลอตัวจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 3.1%QoQ
• ECB มีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลง 25bps สู่ระดับ 2.75% เป็นไปตามที่ตลาดคาด เป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ มิ.ย. 2567 ระบุเงินเฟ้อกำลังปรับตัวลงต่อเนื่องและคาดว่าจะกลับสู่เป้าหมาย 2% ในปีนี้
• สศค. คาดการณ์ GDP ปี 68 มีความเป็นไปได้สูงที่จะขยายตัวได้ถึง 3.5% โดยกรอบการขยายตัวปีนี้อยู่ที่ 2.5-3.5% และมีค่ากลางเฉลี่ยที่โต 3% ได้รับปัจจัยบวกจากการบริโภคภาคเอกชน, การส่งออก, การท่องเที่ยว และการลงทุนภาครัฐและเอกชน
• รมว.คลังคาดความคืบหน้าการจัดกองทุนโครงสร้างพื้นฐานจะดำเนินการเสร็จทันภายในปีนี้ เพื่อนำมาใช้เดินหน้าโครงการรถไฟฟ้า 20 บาททุกสายของรัฐบาล ขนาดของกองทุนจะราว 3 แสนลบ. ซึ่งจะเข้าไปซื้อเฉพาะในส่วนทรัพย์สินที่เอกชนลงทุน
• รมว.คลังเผยกระทรวงการคลังเตรียมออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Stablecoin) โดยใช้พันธบัตรรัฐบาลเป็นแบ็ก หนุนประชาชนรายย่อยเข้าถึงการลงทุน โดยวงเงินเบื้องต้นอยู่ที่ 1 หมื่นลบ. คาดจะเห็นความชัดเจนในปี 2568
• บจ. โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย เผยยอดขายรถยนต์ในไทยปี 2567 อยู่ที่ 572,675 คัน ลดลง 26.2%YoY ขณะที่ปี 2568 คาดยอดขายที่ 6 แสนคัน เพิ่มขึ้น 5%YoY โดยแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะยังคงอยู่ในสภาวะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวไซด์เวย์ โดยยังมีแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 1400 จุด ทั้งนี้แม้ตลาดยังไม่มีปัจจัยอะไรใหม่ แต่ช่วงที่ผ่านมา (YTD) ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงจน Underperform ตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งมองสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ขณะที่ปัจจัยภายนอกยังคงมองภาพเศรษฐกิจและแนวโน้มดอกเบี้ยจะมีท่าทีดีขึ้น รวมถึงผลประกอบการ 4Q67 ของ บจ. ในสหรัฐฯ มีแนวโน้มออกมาแข็งแกร่ง ส่วนการประชุมนโยบายการเงินของ ECB ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 25bps สู่ 2.75% ขณะที่ FED คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.25-4.50% อีกทั้งปัจจัยภายในประเทศคาดการเข้าสู่บรรยากาศจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีนและการแจกเงินหมื่นเฟสสองให้แก่ผู้สูงอายุจะเข้ามาช่วยกระตุ้นบรรยากาศลงทุนได้บ้าง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”

มอง SET จะแกว่งตัวไซด์เวย์ โดยมีแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 1400 จุด กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้

  1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากการเข้าสู่บรรยากาศจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีน อีกทั้งมาตรการกระตุ้นการบริโภคของรัฐจะเริ่มมีผลบังคับใช้ เช่น นำค่าซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษี (Easy E-Receipt) ในช่วง 16 ม.ค.-28 ก.พ. 68 และแจกเงินหมื่นเฟส 2 ให้ผู้สูงอายุในวันที่ 27 ม.ค. นี้ แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO CPALL TNP) กลุ่มท่องเที่ยว (MINT AOT)
  2. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นปันผลสูงซึ่งคาดมีเงินปันผลจ่ายที่เหลือจากกำไรปี 2567 คิดเป็น Div. Yield เกิน 3% เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุน แนะนำ AP KTB BBL PTT
  3. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนโมเมนตัมกำไร 4Q67 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพการจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA AWC AU ERW
  4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรในหุ้น Mid-Small Cap. ที่ราคาหุ้นปรับลง YTD มากกว่าตลาด แต่ 4Q67 และปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตดีและมีฐานะการเงินแกร่ง เลือก AMATA AU BCH BLA TIDLOR
ERW : มองเป็นโอกาสซื้อเก็งกำไร หลัง 4Q67 คาดกำไรปกติจะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 305 ลบ. เพิ่มขึ้น 31%YoY และ 145%QoQ ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า อีกทั้งปัจจุบันราคาหุ้นปรับตัวลดลง 27% ในปี 2567 และ 11%YTD สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี และ Valuation ต่ำกว่าค่ากลางของกลุ่มอยู่ 23% ซึ่งบ่งชี้ถึงความคาดหวังที่ต่ำของตลาด
BBL : มองมีโอกาสที่จะมีการปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้น ขณะที่ Valuation ยังถูกสุดในกลุ่มธนาคาร โดยซื้อขาย PER และ PBV ปี 2568F ต่ำสุดที่ 6.2x (เทียบค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 8x) และ 0.48x (เทียบค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 0.8x) ตามลำดับ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำสุดในกลุ่มฯ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *