
ปัจจัยลบทั้งปัจจัยลบเฉพาะตัวของบริษัทจดทะเบียน และปัจจัยลบภายนอกความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน มีเพียงสัญญาณรีบาวน์ทางเทคนิคสลับช่วงสั้นๆ ทำให้การฟื้นตัวยังถูกจำกัด โดยมีแนวต้านที่ 1270-1280 จุด ขณะที่ยังมี Downside ได้ต่อ ด้านแนวรับอยู่ที่ 1250 และ 1245 จุด ตามลำดับ

· พิ่มขึ้น 1.32%YoY เป็นบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 และเกิน 1% ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 จากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น และราคาสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มปรับตัวสูงขึ้น คาดเงินเฟ้อช่วง 1Q68 จะขยายตัวเฉลี่ย 1.1-1.2%YoY
· REIC เผยสถานการณ์ราคาที่อยู่อาศัย 4Q67 พบราคาบ้านจัดสรรปรับเพิ่มขึ้น 0.8% ติดต่อกัน 9 ไตรมาส และราคาห้องชุดปรับเพิ่มขึ้น 3.6% ติดต่อกัน 8 ไตรมาส จากต้นทุนที่สูง ทั้งราคาที่ดิน ราคาวัสดุก่อสร้าง และค่าก่อสร้าง รวมถึงค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้น
· ม.หอการค้าไทยเผยมาฆบูชา-วาเลนไทน์จะมีเงินสะพัด 5.2 พันลบ. แบ่งเป็นมาฆบูชา 2.5 พันลบ. สูงสุดรอบ 4 ปี และวาเลนไทน์ 2.7 พันลบ. เศรษฐกิจฟื้นแล้วแบบอ่อนๆ เพราะคนไทยยังระวังการใช้จ่าย คาดสงครามการค้าใน 1H68 ยังไม่เต็มรูปแบบและไทยอาจไม่ถูกขึ้นภาษีแรง
· กพช. ยุติการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ-น้ำงึม 3 ใน สปป.ลาว 480MW ที่มีกฟผ. เป็นผู้ร่วมทุน หลังโครงการติดปัญหา Project Finance คาดเตรียมเปิดรับซื้อจากโครงการอื่นๆ เพื่อทดแทน
· ปธน. ทรัมป์ย้ำจะผลักดันการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันที่สูงขึ้น
· BoE มีมติ 7-2 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.50% ตรงตามตลาดคาด และเป็นการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกของ BoE ในปีนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจอังกฤษ
· นายกฯ เดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการและลงนาม MOU ระหว่างประเทศรวม 14 ฉบับ ยกระดับความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ, ปัญญาประดิษฐ์, อวกาศ, การเกษตร เป็นต้น

ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวไซด์เวย์ โดยมีแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 1350 จุด โดยแม้ภาพการลงทุนในตลาดต่างประเทศจะได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนและผลประกอบการนอกกลุ่มการเงินของ บจ. สหรัฐที่แข็งแกร่ง รวมไปถึงแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าจากการปรับลดดอกเบี้ยที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่ในประเทศยังไร้ปัจจัยใหม่มาช่วยหนุนบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทย ทั้งนี้สถานการณ์การส่งออกไทยน่าจะมีความเสี่ยงมากขึ้นจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐและเงินเฟ้อที่ต่ำ ทำให้เศรษฐกิจไทยยังไม่โดดเด่นมากนัก ส่งผลให้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยยัง Underperform ตลาดหุ้นทั่วโลก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”


มอง SET จะแกว่งตัวไซด์เวย์หลังไร้ปัจจัยหนุนใหม่ โดยมีแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 1350 จุด กลยุทธ์ลงทุนแนะนำ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 2 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของรัฐอย่าง Easy E-Receipt ในช่วง 16 ม.ค.-28 ก.พ. 2568 และแจกเงินหมื่นเฟส 2 ให้ผู้สูงอายุ แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO TNP) กลุ่มท่องเที่ยว (MINT AWC ERW AOT)
2. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นปันผลสูงซึ่งคาดมีเงินปันผลจ่ายที่เหลือจากกำไรปี 2567 คิดเป็น Div. Yield เกิน 3% เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุน แนะนำ AP KTB BBL PTT
3. หุ้น Earning Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนกำไร 4Q67-1Q68 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA TIDLOR MTC AU HTC
4. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรใน 1) หุ้นที่คาดมีโอกาสเพิ่มอัตราการจ่ายปันผล หรือ ซื้อหุ้นคืน เนื่องจากมี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และมีสภาพคล่องทางการเงินสูง เลือก PTT KBANK BBL และ 2) หุ้น Mid-Small Cap. ที่ราคาหุ้นปรับลง YTD มากกว่าตลาด แต่ 4Q67 และปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตดีและมีฐานะการเงินแกร่ง เลือก AMATA AU BCH BLA TIDLOR

AOT: มองกำไรมีแนวโน้มเติบโตสดใสตามจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยปี FY2568 คาดกำไรจะเติบโต 18%YoY อิงจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่ 84 ล้านคน เติบโต 15%YoY ซึ่ง 1QFY68 คาดกำไรปกติที่ 5.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 18%YoY และ 25%QoQ แรงหนุนจากเข้าสู่ High Season ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
BBL: มองมีโอกาสที่จะมีการปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้น ขณะที่ Valuation ยังถูกสุดในกลุ่มธนาคาร โดยซื้อขาย PER และ PBV ปี 2568F ต่ำสุดที่ 6.2x (เทียบค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 8x) และ 0.48x (เทียบค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 0.8x) ตามลำดับ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำสุดในกลุ่มฯ
