
นโยบายด้านภาษีศุลกากรของทรัมป์ยังกดดันตลาด ขณะที่เฟดยังไม่เร่งลดดอกเบี้ยเพิ่มตามถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อรัฐสภาสหรัฐฯ นอกจากนี้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ในเดือนม.ค. ออกมาสูงกว่าคาด ทำให้คาด SET การฟื้นตัวยังถูกจำกัดโดยมีแนวต้านอยู่ที่ 1290 และ 1300 จุด ตามลำดับ ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1260-1270 จุด

• CPI สหรัฐฯ ม.ค. ปรับขึ้น 3.0%YoY และ Core CPI ม.ค. 3.3%YoY สูงกว่าตลาดคาด ตอกย้ำสัญญาณของเฟดที่ไม่จำเป็นต้องรีบลดอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมาย
• ประธานเฟดเผยว่ามุ่งมั่นที่จะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวลง และเฟดไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่เงินเฟ้อกำลังชะลอตัวลงแต่ยังอยู่สูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด ซึ่งทำให้เฟดไม่ต้องรีบผ่อนคลายนโยบายการเงิน
• นายกสมาคมโรงแรมไทยเผยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่พักแรม ม.ค. พบว่าปี 2568 ธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่กังวลปัจจัยเศรษฐกิจโลกชะลอตัว รองลงมาคือ ต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งค่าแรง ราคาพลังงาน และวัตถุดิบ ยังมีปัจจัยการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง
• กองทุนประกันสังคมปรับยุทธศาสตร์พอร์ตลงทุนครั้งใหญ่ เพิ่มลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงหลังผลตอบแทนพุ่ง สัดส่วนต่างประเทศเป็น 40% ในไทย 60% ตั้งเป้าผลตอบแทนปีนี้แตะ 5% สนใจลงทุนตลาดสหรัฐฯ -ยุโรป – ญี่ปุ่น ด้านหุ้นไทยเน้นปรับกลยุทธ์ซื้อมาขายไป
• รมว.คลัง เผยคลังกำลังพิจารณานโยบายปรับปรุงกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF ว่าจัดตั้งใหม่หรือโอนนำ LTF ทั้งหมดที่ปัจจุบันมูลค่าประมาณ 1.8 แสนลบ. มาตั้งเป็นอีกกองทุนที่อยู่ใน Thai ESG
• MSCI ประกาศผลทบทวนดัชนีรายไตรมาส มีผล ณ ราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. 2568 โดย MSCI Global Standard ไม่มีหุ้นเข้าแต่ออก 2 หุ้น (PTTGC TOP) ส่วน MSCI Global Small Cap มีเข้า 4 และออก 11 หุ้น
• ปธน. ทรัมป์ได้หารือทางโทรศัพท์กับปธน. ปูตินและปธน. เซเลนสกี เกี่ยวกับการยุติสงคราม ทำให้ตลาดคลายกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมัน

ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้นตัวแต่ Upside จำกัด โดยมีแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 1320 จุด โดยแม้ปัจจัยต่างประเทศจะมีแรงหนุนจากการคลายความกังวลเรื่องสงครามการค้าระยะสั้นและผลประกอบการนอกกลุ่มการเงินของ บจ. สหรัฐฯ ที่คาดยังออกมาแข็งแกร่ง แต่ในประเทศยังขาดปัจจัยบวกใหม่กระตุ้นบรรยากาศลงทุน โดยคาดดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะมีแนวโน้มชะลอตัวลง แม้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเริ่มมีผลบังคับใช้ ส่งผลให้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยยัง Underperform ตลาดหุ้นทั่วโลก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”


มอง SET มีโอกาสฟื้นตัวได้ แต่ Upside จำกัด มีแนวต้านสำคัญที่ 1320 แนะนำลงทุนใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 2 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
- หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนกำไร 4Q67-1Q68 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA TIDLOR MTC AU HTC
- หุ้น Real Sector พื้นฐานดี ใน SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุนและมี Downside Risk จำกัดเนื่องจากมีจุดแข็ง 1) ปี 2568 คาดกำไรสามารถเติบโตได้ YoY 2) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง สภาพคล่องสูง มีโอกาสซื้อหุ้นคืน (มี PBV < 1 เท่า) 3) Valuation ไม่แพง ซื้อขาย PER และ PBV 2568F ต่ำกว่า -1SD และ 4) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาด Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อย 5% แนะนำ BCP AP PTT TU SPALI
- หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นการบริโภค เช่น Easy E-Receipt และแจกเงินหมื่นเฟส 2 แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO TNP) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT AWC ERW AOT)
- Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำเก็งกำไร 1) หุ้นที่คาดสัปดาห์หน้าจะประกาศงบ 4Q67 และกำไรเติบโต YoY และ QoQ แนะนำ AOT MINT และ 2) หุ้นที่คาดมีโอกาสเพิ่มอัตราจ่ายปันผล หรือ ซื้อหุ้นคืน เนื่องจากมี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และมีสภาพคล่องสูง เลือก PTT KBANK BBL KTB

ADVANC : มองเป็นหุ้น Defensive ซึ่งกำไรเติบโตได้ต่อเนื่อง 1Q68 คาดกำไรยังเติบโตแข็งแกร่งทั้ง YoY และ QoQ หนุนให้ปี 2568 คาดมีกำไร 38.5 พันลบ. เติบโต 10.5%YoY อีกทั้งมองมีโอกาสเพิ่มกำไรจากการประมูลใบอนุญาตที่กำลังจะมาถึง นอกจากนี้มีเงินปันผลจ่ายจากกำไร 2H67 ที่ 5.74 บาท/หุ้น (XD 20 ก.พ.) คิดเป็น Div. Yield 2%
AAV : มองช่วงสั้นมีปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมัน แม้ 4Q67 คาดจะมีผลขาดทุนสุทธิ 445 ลบ. จากการรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจำนวน 1.6 พันลบ. แต่หากไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าวคาด 4Q67 จะมีกำไรปกติ 1.2 พันลบ. เพิ่มขึ้น 20%YoY และเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 57 ลบ. ใน 3Q67


