แนวโน้มตลาดวันนี้ : “เตรียมรับแรงกระแทกหลัง ทรัมป์ ประกาศภาษีศุลกากรรุนแรง”

คาด SET ปรับลงจาก Sentiment ลบ หลัง ปธน. ทรัมป์ประกาศภาษีศุลกากรรุนแรงกว่าที่คาด สร้างความกังวลกระทบต่อ ศก. และมูลค่าการค้าโลก หลังจากนี้ต้องจับตาปฏิกิริยาของ ปท. ที่ถูกเรียกเก็บภาษีว่าจะตามมาด้วยการเจรจาหรือการตอบโต้ ทำให้เป็น Overhang ต่อไป ประเมินแนวรับที่ 1155 – 1145 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1165 – 1170 จุด

• ปธน. ทรัมป์ลงนามประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ต่อประมาณ 60 ประเทศคู่ค้าในอัตราที่ต่างกันออกไป เช่น จีน 34% EU 20% ญี่ปุ่น 24% เวียดนาม 46% และ ไทย 36% มีผลวันที่ 9 เม.ย. และมาตรการภาษีแบบครอบจักรวาล (Universal Tariff) ต่อประเทศที่ไม่อยู่ในกลุ่มข้างต้นในอัตราพื้นฐาน 10% มีผลวันที่ 5 เม.ย.
• Bloomberg รายงานว่าก่อนการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จีนได้สั่งบริษัทจีนจำกัดการลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐฯ ทั้งนี้ข้อจำกัดไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนที่มีอยู่ เช่น การถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
• รัฐบาลตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ นำโดยปลัดพาณิชย์ เพื่อรับมือสงครามการค้า เช่น เพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ 4 กลุ่มหลัก พืชอาหารสัตว์, อาหารทะเล, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และพลังงาน เบื้องต้นประเมินการเก็บภาษีนำเข้าจะกระทบไทยราว 2.3-2.7 แสนลบ.
• ธอส. เผยกรณีแผ่นดินไหวมองเป็นผลกระทบทางจิตวิทยา ประเมินจะกลับมาเป็นปกติภายใน 3 เดือน หลังพบสถานการณ์การโอนที่อยู่อาศัยเริ่มกลับมาเป็นปกติ ยอดโอนเฉลี่ยใกล้เคียงปกติที่ 400 ราย/วัน
• สมาคมโรงแรมไทยเผยการสำรวจสถานการณ์โรงแรมหลังเหตุแผ่นดินไหวในวันที่ 30 มี.ค. พบการยกเลิกห้องพัก 897 ห้องใน 85 โรงแรม ทำให้อัตราการเข้าพักลดลงสู่ 63.2% จาก 65.9%
• EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ในสัปดาห์ก่อนเพิ่มขึ้น 6.2 ล้านบาร์เรล ผิดจากที่ตลาดคาดว่าจะลดลง เช่นเดียวกับสต็อกดีเซลที่เพิ่มขึ้น 0.3 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกเบนซินลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล
• ในวันนี้ GULF จะกลับมาซื้อขายในตลาดหลังเสร็จสิ้นการควบรวมกับ INTUCH ด้านทริสได้ปรับการเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรจาก A+ สู่ AA-

ช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัวผันผวน อาจมีแรงขายลดความเสี่ยงจากความกังวลผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสงครามการค้าที่ ปธน. ทรัมป์เดินหน้าขึ้นภาษีต่อเนื่องและคาดจะมีการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าคาดจะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก และกดดันทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสทำนิวโลว์ อย่างไรดีหาก SET ปรับตัวลงไปในช่วง 1,100-1,130 จุด จะเป็นโอกาสลงทุน เนื่องจากมี Downside จำกัด ขณะที่พิจารณาเศรษฐกิจของจีนยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงทั้งภาคการผลิตและบริการจากความไม่ชัดเจนของนโยบายภาษี แต่มองจะไม่แย่อย่างที่ตลาดกังวล ด้านเงินเฟ้อไทย มี.ค. น่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. มากนัก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”

มอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยอาจมีแรงขายลดความเสี่ยงจากความกังวลผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสงครามการค้า ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักและ 3 ธีมเทรดดิ้งที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้

  1. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต 2) ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ Div. Yield อย่างน้อย 3% หุ้น SET50 ที่ ADVANC BBL BDMS CPALL PTT และ SET100 BCH BTG
  2. หุ้นปันผลคุณภาพดี โดย 1) สถิติจ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ปี และ 2) คาดจ่ายปันผลจากกำไรปี 2567 หลังหักจ่ายระหว่างกาลแล้ว Div. Yield สูงเกิน 4% และ Div. Payout Ratio มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว แนะนำ KTB BBL KBANK
  3. หุ้น Undervalued สำหรับลงทุน คัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต 2) มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง 3) ซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อย 2% และ 5) มี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA แนะนำ MTC MINT AMATA BJC CPF
  4. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้นที่คาดได้ผลบวกทางอ้อมจากเหตุแผ่นดินไหว HMPRO SCCC TRUE ADVANC STECON 2) Domestic Play หากกังวลสงครามการค้ารุนแรงขึ้น CPALL ADVANC TRUE BTG BCH และ 3) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากเข้าสู่ เม.ย. ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ จากสถิติให้ผลตอบแทนช่วง เม.ย. เฉลี่ย 2.8% ใน เม.ย. ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก (CPAXT CPALL) กลุ่มท่องเที่ยว (MINT) และกลุ่มการแพทย์ (BCH BDMS)

BCH : มองเป็นหุ้น Defensive ซึ่งปีนี้คาดกำไรปกติจะเติบโตดีสุดในกลุ่มการแพทย์ที่ 15%YoY ปัจจัยหนุนจาก 1) การขยาย/ปรับปรุง รพ. 2) การอัพเกรด รพ. การุญเวช ปทุมธานี เป็น รพ. เกษมราษฎร์ ปทุมธานี 3) การเพิ่มบริการใหม่ๆ และ 4) การดำเนินงานที่เติบโตมากขึ้นที่ รพ. ใหม่ 3 แห่ง อีกทั้ง Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายที่ PER 68F ระดับ 22.5 เท่า คิดเป็น -2SD ของ PER เฉลี่ยในอดีต

DIF : มองเป็นหุ้นปลอดภัยภายใต้ตลาดผันผวน โดย 1Q68 คาดกำไรปกติจะเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ แรงหนุนจากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงหลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีกทั้งยังมีจุดเด่นจ่ายปันผลสูง โดยปี 68 คาดมีเงินปันผลจ่ายราว 0.9 บาท/หน่วย คิดเป็น Div. Yield สูงราวปีละ 11%

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *