แนวโน้มตลาดวันนี้ : “ผันผวนแรง ระมัดระวังการลงทุน”

คาด SET แกว่งผันผวน อาจเห็นการปรับลงก่อนแล้วตามมาด้วยการฟื้นขึ้น แต่ปัจจัยแวดล้อมยังน่ากังวลจากการขึ้นภาษีตอบโต้ระหว่างสหรัฐ-จีนที่อาจรุนแรงขึ้น ขณะที่ประเด็นในประเทศต้องติดตามความพยายามของรัฐบาลในการขอเจรจากับสหรัฐ ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน ประเมินแนวรับที่ 1080 – 1100 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1135 – 1140 จุด

• ปธน. ทรัมป์ปฏิเสธข่าวผ่อนผันมาตรการเก็บภาษีนำเข้าเป็นเวลา 90 วัน และขู่จะเก็บภาษีนำเข้าต่อจีนเพิ่มอีก 50% หากจีนไม่ยกเลิกการเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 34% ที่ใช้ตอบโต้สหรัฐภายในวันที่ 8 เม.ย. นี้
• ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับลงแตะระดับ US$64/bbl จากกังวลมาตรการตอบโต้ภาษีระหว่างสหรัฐและคู่ค้าจะส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยและทำให้อุปสงค์พลังงานโลกปรับตัวลดลง
• วานนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลงแรงจากกังวลภาษีใหม่ของสหรัฐ เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นทำให้ ตลท. มีมติปรับปรุงเกณฑ์ซื้อขายหลักทรัพย์ชั่วคราว 8-11 เม.ย. นี้ เช่น ลด Ceiling/Floor สู่ 15%, ปรับ Dynamic Price Band ลงสู่ 5% และระงับขายชอร์ตทุกหลักทรัพย์
• นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเรียกร้องสมาชิกชาติอาเซียนร่วมกันรับมือสงครามการค้าสหรัฐ และจะประชุมระหว่างรัฐมนตรีในวันที่ 10 เม.ย. นี้
• นายกรัฐมนตรีไทยได้แถลงท่าทีต่อนโยบายการค้าสหรัฐและได้ตั้งคณะทำงานสำหรับประเด็นนี้แล้ว ด้าน รมว. คลัง จะเดินทางเข้าหารือกับสหรัฐและเตรียมข้อเสนอต่างๆ เช่น การเพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐ เช่น พลังงาน อากาศยาน สินค้าเกษตร เป็นต้น
• ทอท. ประเมินช่วงสงกรานต์วันที่ 11-17 เม.ย. 68 จะมีเที่ยวบินระหว่างประเทศและในประเทศ 267,603 (+9YoY) และ 213,792 (+23%YoY) เที่ยวบิน และจำนวนผู้โดยสารรวม 79.1 ล้านคน (+18%YoY)
• กรมสรรพสามิตได้ปรับขึ้นภาษีความหวานเฟส 4 ซึ่งมีผลตั้งแต่ 1 เม.ย. ทำให้ไม่พบเครื่องดื่มที่มีความหวานเกิน 14 กรัม จาก 819 รายการในปี 61 ขณะที่กลุ่มที่มีความหวานต่ำกว่า 6 กรัม เพิ่มขึ้นเป็น 4,736 รายการ

ช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัวผันผวนต่อเนื่อง เป็นผลสืบเนื่องมาจากมาตรการภาษีของสหรัฐที่คาดจะส่งผลต่อการปรับลดประมาณการ GDP และผลประกอบการของ บจ. ทั่วโลก รวมไปถึงท่าทีของเฟดที่อาจจะไม่ชัดเจน ทั้งนี้เป็นผลจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจจะลดลงช้ากว่าที่คาดการณ์จากประเด็นการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่งอาจจจะทำให้ตลาดผิดหวัง เพราะตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ขณะที่จีนคาดยังได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ซึ่งช่วยลดทอนผลกระทบจากสงครามการค้าได้ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”

Weekly Portfolio: จากความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ความผันผวนของ SET ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มจะเอียงไปทางด้าน Downside โดยเฉพาะในช่วงที่มีการตอบโต้ทางภาษีระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีนเพิ่มเติม ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 2 ธีมหลัก และ 1 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้

  1. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 3% พบหุ้นน่าสนใจ SET50: ADVANC BBL BDMS CPALL PTT และ SET100: BCH BTG
  2. หุ้น Undervalued คัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง 3) ซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 2% และ 5) มี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA แนะนำ MTC MINT BJC CPF
  3. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรภายใต้สงครามการค้าที่มีท่าทีรุนแรงขึ้น แนะนำ หุ้นที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลักซึ่งจะต้านทานความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดีกว่า โดยเฉพาะหากสามารถกำหนดราคาและส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งคาดจะได้ประโยชน์จากการปรับลงของราคาน้ำมันและดอกเบี้ย ได้แก่ BCH CPALL CPAXT GULF MTC OR และ TRUE ขณะที่แนะนำหลีกเลี่ยงกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางตรงจากส่งออกไปสหรัฐ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ยาง สินค้าเกษตร เครื่องประดับ และกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ นิคม ท่องเที่ยว ธนาคาร

BCH : มองเป็นหุ้น Defensive ซึ่งปีนี้คาดกำไรปกติจะเติบโตดีสุดในกลุ่มการแพทย์ที่ 15%YoY โดยได้แรงหนุนจากการดำเนินงานที่เติบโตเพิ่มขึ้น การเพิ่มบริการใหม่ๆ และผลขาดทุนที่ลดลงจากโรงพยาบาลใหม่ทั้ง 3 แห่ง อีกทั้ง Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายที่ PER 68F ระดับ 20.9 เท่า คิดเป็น -2SD ของ PER เฉลี่ยในอดีต

TRUE : มองเป็นหุ้นเด่นกลุ่มสื่อสาร โดยชอบ TRUE มากกว่า ADVANC เนื่องจากมอง TRUE น่าจะได้รับประโยชน์จากการประมูลคลื่นความถี่ในแง่ upside ของกำไรที่มากกว่าและมีกำไรปกติปี 2568 ที่เติบโตแข็งแกร่งกว่า ADVANC ขณะที่ 1Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโต YoY จากการประหยัดต้นทุนได้อย่างต่อเนื่อง และเติบโต QoQ จากค่าใช้จ่ายการตลาดที่ลดลง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *