
คาด SET ดีดรีบาวด์ หนุนจาก ปธน. ทรัมป์ ประกาศระงับการใช้ภาษีศุลกากรตอบโต้ออกไปอีก 90 วัน มีผลทันที ทำให้ไทยที่ถูกเรียกเก็บภาษี 36% มีเวลาเพียงพอในการเตรียมเจรจาต่อรองมากขึ้น รวมทั้งราคาน้ำมันขึ้นแรงหนุนกลุ่มพลังงาน ส่วนจีนที่ถูกขึ้นภาษี 125% หากกลับมาเจรจาจะสร้าง sentiment บวกมากขึ้น ประเมินแนวรับที่ 1100-1090 จุด แนวต้านที่ 1120-1140 จุด

• ปธน. ทรัมป์ระงับบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้เป็นเวลา 90 วันโดยมีผลบังคับใช้ในทันที หลังมากกว่า 75 ประเทศได้ติดต่อมาเพื่อเจรจาหาทางออก ขณะที่เพิ่มการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากจีน สู่ระดับ 125% จาก 104% โดยมีผลบังคับใช้ในทันที
• จีนแถลงตอบโต้ต่อมาตรการภาษีของปธน. ทรัมป์ อีกครั้ง ด้วยการปรับขึ้นภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐ จาก 34% เป็น 84% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 10 เม.ย. 68 ซึ่งการตอบโต้ระหว่างกันคาดทำให้การค้าระหว่างสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกหยุดชะงักลง
• ธนาคารกลางจีน (PBOC) ขอให้ธนาคารของรัฐชะลอการซื้อดอลลาร์สำหรับบัญชีของตัวเอง พร้อมทั้งเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบคำสั่งซื้อดอลลาร์จากลูกค้า เพื่อสกัดเก็งกำไรและความผันผวนของค่าเงินหยวน หลังเงินหยวนอ่อนค่าลงจากกังวลสงครามการค้า
• ADB ประเมิน GDP ไทยจะเติบโต 2.8% ในปี 68 และ 2.9% ในปี 69 เป็นการคาดการณ์ก่อนภาษีนำเข้าสหรัฐจะมีผลบังคับใช้ โดยการท่องเที่ยวยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก แต่การบริโภคภาคเอกชนอาจชะลอตัว จากหนี้ครัวเรือนที่สูง รวมทั้งความตึงเครียดการค้าโลกที่เพิ่มขึ้น
• ตลท. เผยศักยภาพหุ้นไทยยังอยู่ในจุดที่ดี หลังใช้เกณฑ์ซิลลิ่ง-ฟลอร์ 15 % ส่วนชอร์ตเซลยังวัดผลไม่ได้ ใช้มาตรการ 4 วันเหมาะสม ประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา มีมาตรการพร้อมนำมาใช้รับมือตลาดผันผวน
• ธุรกิจอสังหาฯ ซึมยาว โจทย์ยากรุมเร้า ทุบกำลังซื้อไม่ฟื้น กู้ไม่ผ่านพุ่ง 45% เอฟเฟ็กต์แผ่นดินไหวจุดเปลี่ยนตลาด บูมเช่า บ้านแนวราบ ชะลอผุดตึกสูง จับตาหุ้นกู้ 1.2 แสนล้านเสี่ยงผิดนัด

ช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัวผันผวนต่อเนื่อง เป็นผลสืบเนื่องมาจากมาตรการภาษีของสหรัฐที่คาดจะส่งผลต่อการปรับลดประมาณการ GDP และผลประกอบการของ บจ. ทั่วโลก รวมไปถึงท่าทีของเฟดที่อาจจะไม่ชัดเจน ทั้งนี้เป็นผลจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจจะลดลงช้ากว่าที่คาดการณ์จากประเด็นการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่งอาจจจะทำให้ตลาดผิดหวัง เพราะตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ขณะที่จีนคาดยังได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ซึ่งช่วยลดทอนผลกระทบจากสงครามการค้าได้ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”


Weekly Portfolio: จากความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ความผันผวนของ SET ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มจะเอียงไปทางด้าน Downside โดยเฉพาะในช่วงที่มีการตอบโต้ทางภาษีระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีนเพิ่มเติม ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 2 ธีมหลัก และ 1 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
- หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 3% พบหุ้นน่าสนใจ SET50: ADVANC BBL BDMS CPALL PTT และ SET100: BCH BTG
- หุ้น Undervalued คัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง 3) ซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 2% และ 5) มี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA แนะนำ MTC MINT BJC CPF
- Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรภายใต้สงครามการค้าที่มีท่าทีรุนแรงขึ้น แนะนำ หุ้นที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลักซึ่งจะต้านทานความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดีกว่า โดยเฉพาะหากสามารถกำหนดราคาและส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งคาดจะได้ประโยชน์จากการปรับลงของราคาน้ำมันและดอกเบี้ย ได้แก่ BCH CPALL CPAXT GULF MTC OR และ TRUE ขณะที่แนะนำหลีกเลี่ยงกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางตรงจากส่งออกไปสหรัฐ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ยาง สินค้าเกษตร เครื่องประดับ และกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ นิคม ท่องเที่ยว ธนาคาร

KTB : มองเป็นหนึ่งในเป้าหมายลงทุนของกองทุน ThaiESGX เนื่องจากมี SETESG Rating ระดับ AAA และยังเป็นหุ้นปันผลคุณภาพดี โดยมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 67 ในอัตราหุ้นละ 1.545 บาท (XD 17 เม.ย.) คิดเป็น Div. Yield สูงถึง 7.3% และคาดปี 68 ผลประกอบการยังแข็งแกร่ง โดยกำไรยังเติบโตได้ 3.2%YoY วันนี้แนะนำเข้าซื้อเก็งกำไรราคาไม่เกิน 22.00 บาท
PTTEP: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวขึ้น หลังสหรัฐเลื่อนเก็บภาษีออกไป 90 วันยกเว้นจีน ขณะที่ปี 68 แม้คาดกำไรจะอ่อนแอลง YoY แต่ยังมีงบดุลที่แข็งแกร่ง (มีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อทุนน้อยกว่า 0.3 เท่า) ทั้งนี้วันนี้แนะนำเข้าซื้อเก็งกำไรราคาไม่เกิน 101 บาท

