แนวโน้มตลาดวันนี้ :  “สงครามการค้าดุเดือดมากขึ้น”

คาด SET แกว่งลง สงครามการค้าส่อเค้าแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสูงถึง 145% ทำให้ความหวังที่ทั้ง 2 ชาติจะหันกลับมาเจรจาลดลงและหักล้างปัจจัยบวกจากการที่สหรัฐชะลอการใช้มาตรการภาษีตอบโต้ออกไปอีก 90 วัน อีกทั้งต้องระวังแรงขายเพื่อลดความเสี่ยงก่อนช่วงวันหยุดยาว ประเมินแนวรับที่ 1115-1100 จุด แนวต้านที่ 1140-1150 จุด

·    ทำเนียบขาวแถลงว่า ปธน. ทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 125% ยังไม่รวมกับที่ ปธน.ทรัมป์เรียกเก็บภาษีในอัตรา 20% เพื่อลงโทษจีนที่ไม่ได้สกัดการไหลทะลักของยาเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ขณะนี้สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีจากจีนสูงถึง 145%
·     EU ประกาศจะชะลอการใช้มาตรการตอบโต้การเรียกเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ออกไปอีก 90 วัน เพื่อเปิดทางสำหรับการเจรจาปัญหาทางการค้า ขณะที่จีนประกาศแผนลดการนำเข้าภาพยนตร์จากสหรัฐ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ
·     สหรัฐเผย มี.ค. 68 ดัชนี CPI เพิ่มขึ้น 2.4%YoY และ Core CPI เพิ่มขึ้น 2.8%YoY ชะลอตัวลงจาก ก.พ. และต่ำกว่าตลาดคาด ซึ่งแม้เป็นปัจจัยหนุนการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด แต่ทิศทางดอกเบี้ยของเฟดขณะนี้ยังไม่ชัดเจน จากนโยบายการค้าของ ปธน.ทรัมป์ยังไม่แน่นอน
·     รมว.คลังเผยจะไม่มีการต่ออายุ 3 มาตรการเพื่อรองรับความผันผวนของ ตลท. ชั่วคราว 3 มาตรการที่จะสิ้นสุด 11 เม.ย. และจะกลับมาเปิดให้ซื้อขายปกติ 16 เม.ย.นี้ เหมือนเดิม
·    รมว.คมนาคมเผยความคืบหน้านโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ยืนยันครอบคลุมรถไฟฟ้าทั้ง 8 สายทาง และพร้อมเปิดให้บริการในอัตราเดียวทั่วกทม.และปริมณฑล ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย. 68
·    ม.หอการค้าไทยเผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ มี.ค. 68 ลดลงเหลือ 48.9 จากเดือนก่อนซึ่งอยู่ที่ 49.4 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค มี.ค. 68 ลดลงอยู่ที่ระดับ 56.7 เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เหตุปัจจัยลบรุมกระหน่ำ สงครามการค้า ปัญหาหนี้ และค่าครองชีพพุ่ง

ช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัวผันผวนต่อเนื่อง เป็นผลสืบเนื่องมาจากมาตรการภาษีของสหรัฐที่คาดจะส่งผลต่อการปรับลดประมาณการ GDP และผลประกอบการของ บจ. ทั่วโลก รวมไปถึงท่าทีของเฟดที่อาจจะไม่ชัดเจน ทั้งนี้เป็นผลจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจจะลดลงช้ากว่าที่คาดการณ์จากประเด็นการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่งอาจจจะทำให้ตลาดผิดหวัง เพราะตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ขณะที่จีนคาดยังได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ซึ่งช่วยลดทอนผลกระทบจากสงครามการค้าได้ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”

Weekly Portfolio: จากความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ความผันผวนของ SET ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มจะเอียงไปทางด้าน Downside โดยเฉพาะในช่วงที่มีการตอบโต้ทางภาษีระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีนเพิ่มเติม ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 2 ธีมหลัก และ 1 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1.    หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY  2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 3% พบหุ้นน่าสนใจ SET50: ADVANC BBL BDMS CPALL PTT และ SET100: BCH BTG
2.       หุ้น Undervalued คัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง 3) ซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 2% และ 5) มี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA แนะนำ MTC MINT BJC CPF
3.       Trading Idea:  นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรภายใต้สงครามการค้าที่มีท่าทีรุนแรงขึ้น แนะนำ หุ้นที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลักซึ่งจะต้านทานความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดีกว่า โดยเฉพาะหากสามารถกำหนดราคาและส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งคาดจะได้ประโยชน์จากการปรับลงของราคาน้ำมันและดอกเบี้ย ได้แก่ BCH CPALL CPAXT GULF MTC OR และ TRUE ขณะที่แนะนำหลีกเลี่ยงกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางตรงจากส่งออกไปสหรัฐ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ยาง สินค้าเกษตร เครื่องประดับ และกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ นิคม ท่องเที่ยว ธนาคาร

‎‎‎BCH: มองเป็นหุ้น Defensive ซึ่งปีนี้คาดกำไรปกติจะเติบโตดีสุดในกลุ่มการแพทย์ที่ 15%YoY โดยได้แรงหนุนจากการดำเนินงานที่เติบโตเพิ่มขึ้น การเพิ่มบริการใหม่ๆ และผลขาดทุนที่ลดลงจากโรงพยาบาลใหม่ทั้ง 3 แห่ง อีกทั้ง Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายที่ PER 68F ระดับ 20.9 เท่า คิดเป็น -2SD ของ PER เฉลี่ยในอดีต

TRUE: มองเป็นหุ้นเด่นกลุ่มสื่อสาร โดยชอบ TRUE มากกว่า ADVANC เนื่องจากมอง TRUE น่าจะได้ประโยชน์จากการประมูลคลื่นความถี่ในแง่ upside ของกำไรที่มากกว่าและมีกำไรปกติปี 2568 ที่เติบโตแข็งแกร่งกว่า ADVANC ขณะที่ 1Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโต YoY จากประหยัดต้นทุนได้อย่างต่อเนื่อง และเติบโต QoQ จากค่าใช้จ่ายการตลาดที่ลดลง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *